Economics

มหาเศรษฐีเพียง 1% ครองรายได้เกิน 60% ของโลก


รายงานจาก Oxfam ​International ที่พึ่งออกมาไม่กี่วันก่อน ได้ตอกย้ำให้เห็นถึง  “ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในระดับโลก” เมื่อในช่วงสองปีที่ผ่านมา อภิมหาเศรษฐี 1% เป็นผู้ครอบครองความมั่งคั่งมากกว่า 60% ของทั้งโลก

ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกผ่านความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่มีระดับรายได้น้อย ผู้ได้รับกระทบมากที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด และค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากด้วย…

ความเหลื่อมล้ำของโลกเพิ่มมากสุดตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในรายงานของ Oxfam แสดงให้เห็นว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งระหว่างอภิมหาเศรษฐี 1% แรกกับคน 99% ที่เหลือทั้งโลกมีความห่างกันมากขึ้นไปอีก

ประมาณการกันว่า สองปีมานี้มีความมั่งคั่งทั้งโลกเพิ่มขึ้น 42 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐโดยเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของอภิมหาเศรษฐี 1% ถึง 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นถึง 63% หรือมองง่ายๆ ก็คือประมาณ 2 ใน 3 ของทั้งหมด

ส่วนของคนอีก 99% มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 16 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเพียง 37% หรือก็คือประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมดซึ่งสัดส่วน 63% ของความมั่นคั่งของคน 1% มากยิ่งกว่า ช่วงก่อนหน้านี้ที่คน 1% จะครอบครองความมั่งคั่งประมาณ 50% (ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว) เสียอีก แต่ในขณะที่มหาเศรษฐี 1% บนของโลกมีสัดส่วนความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมากับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากกับคนกลุ่มรายได้น้อยสุด

โดยอ้างอิงจากทางธนาคารโลก (World Bank) ในปี 2020 ซึ่งมีการระบาดของโควิดอย่างหนักเป็นปีแรกในรอบ 25 ปี ที่ตัวเลขของผู้ที่ในกลุ่มยากจนสุดขีด (Extreme Poverty)* เพิ่มมากขึ้นกว่า 70 ล้านคน รวมทั้งโลกเป็น 719 ล้านคน

*กลุ่มยากจนสุดขีด (Extreme Poverty) ตามนิยามของธนาคารโลกหมายถึง คนที่ใช้ชีวิตด้วยเงินต่ำกว่า 2.15 ดอลลาร์ต่อวัน

และยิ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา เมื่อโลกเริ่มคลี่คลายจากปัญหาโควิด ก็ยังมาโดนซ้ำเติมจากปัญหาสงครามในยูเครน ซึ่งทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นมากที่สุดในรอบหลายสิบปี

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังประเมินอีกว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ความเหลื่อมล้ำของโลกเพิ่มมากขึ้นที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

และก็ยังแสดงความกังวลใจว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นหน้านี้ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้เป้าหมายการยกระดับรายได้คนจนสุดขีดทั้งหมดให้สูงขึ้นจนเกิน 2.15 ดอลลาร์ต่อวันภายในปี 2030 แทบจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

โดยจากการประมาณเมื่อตุลาคมปีก่อน ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะมีคนสูงถึงเกือบ 600 ล้านคนทั่วโลก ที่จะยังอยู่ในระดับความยากจนสุดขีดในปี 2030

การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์จะเป็นส่วนสำคัญในช่วงต่อไป

คุณ Indermit Gill หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกกล่าวว่า “ในช่วงทศวรรษต่อจากนี้ การลงทุนในด้านสุขภาพและการศึกษาจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนา”

“แต่ในช่วงเวลาที่สภาวะหนี้ทั่วโลกพุ่งขึ้นสูงแบบนี้ ประเทศต่างๆ ก็ทำเรื่องนี้ได้ยากเช่นกัน แต่รัฐบาลก็ต้องจัดสรรและมุ่งเน้นทรัพยากรที่มีจำกัดนี้ไปที่การลงทุนในการสร้างคนและอัตราการเติบโตก่อน”

ซึ่งมันก็สอดคล้องไปกับที่ Oxfam International ต้องการให้มีการนำเงินมาลงทุนด้านสุขภาพ และบริการสาธารณะให้กับประชาชนมากขึ้น พร้อมทั้งเสนอให้มีการเก็บภาษีมหาเศรษฐีโลกมากขึ้น โดยกล่าวว่า

“การเก็บภาษีมหาเศรษฐีโลกเพิ่มขึ้น 5% ก็เพียงพอ จะช่วยให้คนกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลกพ้นจากระดับความยากจนและทำโครงการหยุดความหิวโหยระยะเวลา 10 ปีได้”

อย่างไรก็ดี ความซับซ้อนของการจัดการภาษีมีเหตุผลมากกว่านั้นให้พิจารณา โดยมีการศึกษาที่แสดงผลเชิงลบจากการขึ้นอัตราภาษีต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่เช่นกัน

อย่างการรวบรวมงานศึกษาของ Taxation Foundation แสดงให้เห็นว่าอัตราภาษีก็ยังมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่

ถ้ามีการเก็บอัตราภาษีเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นระบบ หรือเก็บจากส่วนที่ไม่เหมาะสม ก็อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าส่งผลดีต่อภาพรวมก็ประเทศได้เช่นกัน และแม้ว่าจะมีเงินทำโครงการมากขึ้น ก็เป็นเพียงต้นทางของโครงการ เพราะการนำลงไปใช้ในสถานการณ์จริงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาวกับทุกคนเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายเลย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องยังต้องช่วยกันคิดและออกแบบ เพื่อสร้างสังคมมนุษย์ที่ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ต่อไป…

 


References :

● https://www.cnbc.com/2023/01/16/richest-1percent-amassed-almost-two-thirds-of-new-wealth-created-since-2020-oxfam.html

● https://pubs.aeaweb.org/doi/pdfplus/10.1257/jep.25.4.165

● https://www.oxfam.org/en/press-releases/richest-1-bag-nearly-twice-much-wealth-rest-world-put-together-over-past-two-years

● https://oxfamilibrary.openrepository.com/bitstream/handle/10546/621477/bp-survival-of-the-richest-160123-en.pdf

● https://taxfoundation.org/reviewing-recent-evidence-effect-taxes-economic-growth/

● https://www.worldbank.org/en/news/press-release/2022/10/05/global-progress-in-reducing-extreme-poverty-grinds-to-a-halt

 

ณัฐนันท์ รำเพย
ผมเติบโตในชานเมือง เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยใจกลางกรุง ได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมที่แม้เราอยู่ห่างกันแค่นิดเดียวแต่เห็นถึงความแตกต่างกันมาก “ความแตกต่าง” เหล่านี้เกิดจากอะไร เป็นคำถามที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมอยากเติบโตในการทำงานด้านเศรษฐศาสตร์พัฒนา ด้วยงานอดิเรกหลักของผมคือการอ่านนิยาย ผมจึงอยากนำการเล่าเรื่องที่ยากจะเข้าใจอย่างเศรษฐศาสตร์ มาเล่าให้คนทั่วไปได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ บ้าง

    สวีเดน ค้นพบแหล่งแร่เหมืองใหญ่ที่สุดในยุโรป 

    Previous article

    แต๊ะเอียอย่างแบด อาจทำให้เด็กๆ แซดกันหน่อย

    Next article

    Comments

    Leave a reply

    Your email address will not be published. Required fields are marked *