พึ่งจะเริ่มต้นปีใหม่ได้เพียงใหม่กี่วัน เราก็ได้เห็นบริษัทต่าง ๆ ออกข่าวถึงการปลดพนักงานเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยส่วนมาก บริษัทที่ปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Amazon ที่พึ่งประกาศว่าจะปลดพนักงานราว ๆ 18,000 อัตรา
นอกจาก ก็คือบริษัททางการเงินชื่อดังยักษ์ใหญ่อย่าง ก็ออกมาประกาศว่าจะปลดพนักงานลง 3,200 ตำแหน่ง เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งในปีนี้เราอาจได้เห็นบริษัทในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาจลดต้นทุนการทำธุรกิจด้วยการลดพนักงานลงเช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะว่า ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาคธุรกิจในปี 2023 นี้
รายได้ขององค์กรทั่วโลกคาดว่าจะลดลง
Fitch Ratings ได้ปรับลดประมาณการรายได้ขององค์กรที่ไม่ได้อยู่ภาคการเงินลง ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างอ่อน ๆ ในสหรัฐอเมริกาและยูโรโซน
ความท้าทายด้านเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรในปี 2023
เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงและอำนาจการกำหนดราคาที่ลดลงจะไปส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรขององค์กร Fitch Ratings คาดการณ์การเติบโตของ GDP ทั่วโลกจะชะลอตัวลงเหลือ 1.4% ในปี 2023 จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.6% ในปี 2022
โดยเศรษฐกิจของยูโรโซนและสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 ตามมาด้วยสหรัฐที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงกลางปี 2023
เป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบไปยังการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวและการว่างงานเพิ่มขึ้น และอัตราการผิดนัดชำระจะเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดสินเชื่อตึงตัว
การคาดการณ์การเติบโตของรายได้โดยรวมในปี 2023 สำหรับบริษัทผู้ออกตราสารที่จัดอันดับโดย Fitch ถูกปรับลดลง 7 percentage points (pps)
เนื่องจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่ารายได้จะลดลงมากที่สุด คือ ภาคพลังงานและก๊าซธรรมชาติ
ในขณะที่ ภาคส่วนที่ได้คาดว่าจะรับผลกระทบน้อยในปี 2023 คือ สายการบินและการบินที่ยังคงฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง
บริษัทเทคโนโลยี นำเทรนด์ปลดพนักงาน
ภาพรวมตลาดแรงงานในสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นว่ามีการปลดพนักงานจำนวนมาก ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการปลดพนักงานมากที่สุด เกิดขึ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
โดยในปัจจุบันมีบริษัทอยู่ 3 ประเภทที่ได้เลิกจ้างพนักงาน คือ
- บริษัทที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นจากการใช้นโยบายเข้มงวดของธนาคารกลาง
- บริษัทที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
- บริษัทที่ใช้ข้ออ้างด้านปัญหาเศรษฐกิจมาใช้ปลดพนักงานที่อยากไล่ออกอยู่แล้ว
การเลิกจ้างเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2022 และการลดพนักงานใกล้เคียงกับช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงแรก ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีได้ประกาศการเลิกจ้างไปแล้ว 52,771 อัตรา รวมเป็น 80,978 อัตราตลอดทั้งปี 2022
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เปิดปีใหม่ได้ไม่นาน พนักงานบางกลุ่มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็ได้รับข่าวร้ายเป็นการประกาศเลิกจ้างในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Amazon.com Inc., Salesforce Inc.
โดยการประกาศเลิกจ้างในครั้งนี้ได้กระทบกับพนักงานที่อยู่ในภาคเทคโนโลยีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นคน
ตัวอย่างข่าวใหญ่ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือ Amazon ที่ได้ประกาศลดพนักงานในเดือนพฤศจิกายนประมาณ 10,000 ตำแหน่ง จากนั้นก็ปรับการลดพนักงานมากกว่าเดิมเป็น 18,000 ตำแหน่ง ซึ่งการลดลงในครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ
โดยการปลดพนักงานครั้งใหญ่นี้ทำให้มีการคาดการณ์ว่า จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคที่อุตสาหกรรมขยายตัวหรือไม่
นอกจากภาคเทคโนโลยีจะปรับลดพนักงานให้เราเห็นกันอยู่เนือง ๆ แล้ว บริษัท Goldman Sachs วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ กำลังเตรียมเลิกจ้างพนักงานเกือบ 4,000 คนเพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายเช่นกัน จากเหตุการณ์ทั้งหลายเท่านี้ ก็ชวนให้คิดว่า ในปี 2023 วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกจะรุนแรงแค่ไหน
References :
https://www.washingtonpost.com/business/2023/01/06/layoff-numbers/
Comments